สายรัดอกที่ใช้อยู่... อาจทำให้น้องหมาพิการ?

อย่าปล่อยให้ความไม่รู้ ทำลายสุขภาพข้อต่อและกระดูกของเขาในระยะยาวโดยที่คุณไม่ตั้งใจ

Kylosi
1 / 10

หยุดใช้แบบคาดหน้าอกทรง T-Shape

สายรัดแนวขวางแบบนี้จะไปกดทับหัวไหล่โดยตรง ทำให้เขาเดินได้ไม่สุด และส่งผลเสียต่อกระดูกสันหลังตามมา

2 / 10

เปลี่ยนมาใช้ทรง Y-Shape เพื่ออิสระ

ทรง Y จะเว้นช่วงหัวไหล่ให้เคลื่อนไหวได้เต็มที่ เหมือนเขาไม่ได้ใส่อะไรเลย สุนัขจะก้าวขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

3 / 10

วัดขนาด 3 จุดสำคัญที่คนไทยมักพลาด

ไม่ใช่ดูแค่รอบอก แต่ต้องวัดฐานคอ และ 'ความยาวใต้ท้อง' ด้วย เพื่อให้สายรัดอกอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องที่สุด

4 / 10

ระวัง 'แผลถลอก' ใต้วงแขน

ถ้าสายรัดใต้ท้องสั้นไป มันจะดึงสายรัดอกไปสีรักแร้จนเป็นแผลอักเสบ โดยเฉพาะหมาขนสั้นหรือพันธุ์พิทบูล

5 / 10

กฎ 2 นิ้ว: ไม่แน่นไป ไม่หลวมไป

สอดนิ้วเข้าไปได้ 2 นิ้วคือพอดี ถ้าสอดไม่ได้คือแน่นจนหายใจลำบาก ถ้าสอดได้ 3 คือหลวมจนสุนัขอาจหลุดหาย

6 / 10

สังเกต 'ท่าเดิน' ของเขาให้ดี

ถ้าเขาเดินกะเผลก หรือก้าวขาหน้าได้สั้นลง นั่นคือสัญญาณเตือนว่าสายรัดอกนั้นกำลังจำกัดการเคลื่อนไหว

7 / 10

กลัวหมาหลุด? อย่ารัดให้แน่นขึ้น

การรัดแน่นไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัย แต่ควรหาแบบ 5 จุดปรับ หรือแบบที่มีสายรัดเส้นที่ 3 บริเวณหน้าท้องแทน

8 / 10

เมืองไทยร้อน... วัสดุก็สำคัญมาก

เลือกผ้าเมช (Mesh) ที่ระบายอากาศได้ดี เพื่อป้องกันความร้อนสะสมใต้แผ่นอก ซึ่งอาจทำให้น้องเป็นลมแดดได้

9 / 10

พันธุ์เล็กยิ่งต้องระวัง 'หลอดลม'

น้องหมาจิ๋วต้องใช้สายรัดที่กระจายแรงได้ดี ไม่ให้แรงดึงไปรวมที่คอจนเขาไอหรือสำลักเวลาจูงเดิน

10 / 10

เช็กความพอดีทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน

ขนร่วงหรือน้ำหนักเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้ความกระชับเปลี่ยนไปได้เสมอ อย่าชะล่าใจจนเกิดอุบัติเหตุ

นี่ไม่ใช่แค่ของใช้... แต่มันคือสุขภาพ

สายรัดอกที่ถูกหลักสรีระคือการลงทุนเพื่อให้เขาเดินเล่นกับคุณได้นานที่สุด โดยไม่ต้องเจ็บปวดเมื่ออายุมากขึ้น

อยากให้น้องหมาเดินสบายกว่าเดิมไหม?

ดูเช็คลิสต์การเลือกสายรัดอก และวิธีวัดตัวแบบละเอียด เพื่อสุขภาพที่ดีของเพื่อนสี่ขา

อ่านวิธีเลือกเลย