Kylosi
โภชนาการ

มายาคติเนื้อสัตว์ส่วนผสมแรก: วิธีจับไต๋การแยกส่วนผสมบนฉลากอาหารสัตว์

เปิดโปงกลยุทธ์ มายาคติเนื้อสัตว์ส่วนผสมแรก ที่แบรนด์อาหารสัตว์ใช้หลอกตาผู้บริโภค เรียนรู้วิธีอ่านฉลากอย่างเซียนเพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยงคุณ

Kylosi Editorial Team

Kylosi Editorial Team

Pet Care & Animal Wellness

26 ธ.ค. 2568
2 นาทีที่ใช้อ่าน
#อาหารสัตว์เลี้ยง #วิธีอ่านฉลากอาหารสุนัข #โภชนาการสัตว์เลี้ยง #ingredientsplitting #มายาคติเนื้อสัตว์ส่วนผสมแรก #เลือกอาหารแมว #สุขภาพสัตว์เลี้ยง
โกลเด้น รีทรีฟเวอร์นั่งอยู่ในห้องครัวที่ทันสมัยและมีแสงแดดส่องถึง กำลังมองจานปลาแซลมอนสดและบลูเบอร์รี่ข้างถุงอาหารสุนัขเกรดพรีเมียม

เจ้าของสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยหลายคนมักถูกสอนให้มองหา 'เนื้อสัตว์' เป็นส่วนประกอบอันดับหนึ่งเมื่อเลือกซื้ออาหารเม็ด อย่างไรก็ตาม นี่คือจุดเริ่มต้นของ มายาคติเนื้อสัตว์ส่วนผสมแรก ที่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ใช้เป็นช่องว่างทางการตลาด ความจริงที่น่าตกใจคือ แม้ชื่อเนื้อสัตว์จะอยู่อันดับต้นๆ แต่ปริมาณรวมของธัญพืชหรือสารเติมเต็มอาจมีมากกว่าหลายเท่าผ่านเทคนิคที่เรียกว่า 'Ingredient Splitting' หรือการแยกส่วนผสม บทความนี้จะช่วยให้คุณกลายเป็นผู้บริโภคที่รู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการตลาด และสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เพื่อนสี่ขาของคุณได้จริงๆ

การแยกส่วนผสม (Ingredient Splitting) คืออะไร?

การแยกส่วนผสมเป็นเทคนิคการผลิตที่ชาญฉลาด (และถูกกฎหมาย) โดยการนำวัตถุดิบชนิดเดียวกันที่มีคุณภาพต่ำหรือราคาถูก มาแบ่งย่อยออกเป็นหลายชื่อบนฉลาก ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเขียนว่า 'ข้าวโพด 30%' ซึ่งจะทำให้ข้าวโพดกลายเป็นส่วนประกอบอันดับหนึ่งแซงหน้าเนื้อไก่ที่มีอยู่ 20% ผู้ผลิตจะแยกข้าวโพดออกเป็น 'ข้าวโพดป่น' (Corn Meal), 'กากข้าวโพด' (Corn Gluten Meal) และ 'แป้งข้าวโพด' (Corn Flour) อย่างละ 10%

ผลลัพธ์ที่ได้คือ บนฉลากจะแสดง 'เนื้อไก่' เป็นอันดับที่ 1 ตามด้วยส่วนผสมข้าวโพดที่ถูกแยกย่อยในอันดับที่ 4, 5 และ 6 ทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดว่าอาหารกระสอบนี้มีเนื้อสัตว์เป็นหลัก ทั้งที่ความจริงแล้วหากนำส่วนประกอบของข้าวโพดมารวมกัน มันจะมีปริมาณมากกว่าเนื้อสัตว์เกือบเท่าตัว เทคนิคนี้พบได้บ่อยมากในอาหารสัตว์เกรดทั่วไปที่วางขายตามห้างสรรพสินค้าและร้านเพ็ทช็อปในไทย

อกไก่ดิบและกองเมล็ดข้าวโพดสีเหลืองบนเครื่องชั่งในครัวระบบดิจิทัลสีเงิน

วิธี 'รวมร่าง' ส่วนผสมเพื่อหาความจริง

การเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ชาญฉลาด คุณต้องฝึก 'รวมส่วนผสม' ในใจ เมื่ออ่านฉลากให้มองหาคำที่ขึ้นต้นด้วยพืชชนิดเดียวกัน เช่น หากคุณเห็น 'Peas' (ถั่วลันเตา), 'Pea Fiber', 'Pea Protein' และ 'Pea Flour' ปรากฏอยู่ใกล้ๆ กัน ให้สันนิษฐานได้เลยว่าอาหารสูตรนี้หนักไปทางถั่วมากกว่าเนื้อสัตว์ที่โฆษณาไว้

นอกจากนี้ ต้องระวังเรื่อง 'น้ำหนัก' ของส่วนผสม เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้เรียงลำดับตามน้ำหนักก่อนการปรุงสุก เนื้อสด (Fresh Meat) มักมีน้ำประมาณ 70-80% ซึ่งหนักมาก เมื่อผ่านกระบวนการรีด (Extrusion) จนกลายเป็นเม็ดแห้ง น้ำจะหายไปเกือบหมด เหลือเพียงเนื้อจริงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ส่วนผสมรองอย่างข้าวหรือธัญพืชป่นมีความแห้งอยู่แล้ว ทำให้ปริมาณสารอาหารจริงจากพืชอาจสูงกว่าเนื้อสัตว์อย่างมีนัยสำคัญ

เนื้อวัวดิบลายหินอ่อนทรงลูกบาศก์วางข้างชามแก้วที่บรรจุเมล็ดข้าวโพดและแป้งข้าวโพดบนแผ่นหินชนวนภายใต้แสงแดด

คำศัพท์กำกวมที่ควรระวังบนฉลากไทย

ในประเทศไทย มาตรฐานของกรมปศุสัตว์กำหนดให้มีการระบุส่วนประกอบอย่างชัดเจน แต่ผู้ผลิตบางรายยังใช้คำที่กำกวมเพื่อลดต้นทุน เช่น 'ผลพลอยได้จากสัตว์ปีก' (Poultry By-product) ซึ่งรวมถึงจะงอยปาก ขน และเท้า ซึ่งให้โปรตีนคุณภาพต่ำกว่าเนื้อเกรดมนุษย์ (Human Grade)

หากคุณพบรายการส่วนผสมที่ใช้คำว่า 'ธัญพืช' (Cereals) โดยไม่ระบุชนิด หรือ 'ไขมันสัตว์' (Animal Fat) โดยไม่ระบุว่าเป็นสัตว์ชนิดใด นั่นเป็นสัญญาณอันตรายว่าผู้ผลิตอาจเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามราคาตลาดในแต่ละล็อต ทำให้สัตว์เลี้ยงที่มีอาการแพ้อาหารเสี่ยงต่อการกำเริบได้ การเลือกอาหารที่มีการระบุชื่อวัตถุดิบเฉพาะเจาะจง (Specific Named Ingredients) เช่น 'เนื้อเลาะโครงไก่' หรือ 'น้ำมันปลาแซลมอน' จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ามาก

ภาพระยะใกล้ของมือที่ถือแว่นขยายเหนือกระเป๋าถือสีดำปักลาย เน้นลวดลายวงกลมสีเขียวและสัญลักษณ์รูนสีทอง

การแก้ไขปัญหาเมื่อสัตว์เลี้ยงได้รับสารอาหารไม่เหมาะสม

หากคุณพบว่าอาหารที่ใช้อยู่ตกอยู่ในกลุ่ม มายาคติเนื้อสัตว์ส่วนผสมแรก และสัตว์เลี้ยงเริ่มมีสัญญาณผิดปกติ เช่น ขนหยาบกระด้าง ถ่ายเหลวบ่อย หรือมีกลิ่นตัวแรง นั่นอาจเป็นเพราะได้รับคาร์โบไฮเดรตจากสารเติมเต็มมากเกินไป

การปรับเปลี่ยนอาหารควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายใน 7-10 วัน โดยเริ่มจากผสมอาหารใหม่ในสัดส่วน 25% และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากสุนัขหรือแมวของคุณมีโรคประจำตัว เช่น โรคไตหรือโรคภูมิแพ้ผิวหนัง การเปลี่ยนอาหารโดยพลการอาจเป็นอันตรายได้ ในกรณีนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับอาหารสูตรประกอบการรักษา (Prescription Diet) ที่มีการคัดกรองวัตถุดิบอย่างเข้มงวดมากกว่าอาหารเกรดทั่วไปตามท้องตลาด

ผู้หญิงสวมแว่นตามองเข้าไปในถุงเล็กๆ บนโต๊ะที่มีโน้ตบุ๊ก โดยมีสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์นั่งอยู่ข้างๆ ในห้องที่มีแสงสลัวในเวลากลางคืน

คำถามที่พบบ่อย

ทำไมเนื้อสัตว์ถึงยังเป็นอันดับหนึ่งบนฉลากถ้ามีธัญพืชมากกว่า?

เพราะน้ำหนักของเนื้อสัตว์ที่นำมาคำนวณคือ 'น้ำหนักสด' ก่อนการแปรรูปซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักถึง 75% เมื่อน้ำระเหยไปในกระบวนการทำเป็นเม็ดแห้ง สัดส่วนของเนื้อสัตว์จริงๆ จะลดลงอย่างมากจนอาจน้อยกว่าธัญพืชรวมกันเสียอีก

Ingredient Splitting ผิดกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่?

ไม่ผิดกฎหมาย ตราบใดที่ผู้ผลิตระบุชื่อวัตถุดิบตามจริง การแยกส่วนผสมเป็นเพียงเทคนิคการนำเสนอข้อมูลบนฉลากที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์แล้ว แต่ผู้บริโภคต้องใช้ความระมัดระวังในการอ่านเอง

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเนื้อสัตว์ในอาหารนั้นมีคุณภาพดี?

มองหาชื่อระบุเฉพาะเจาะจง เช่น 'Chicken Meal' (เนื้อไก่ป่น) หรือ 'Deboned Salmon' แทนคำกว้างๆ อย่าง 'Meat Meal' และควรเลือกแบรนด์ที่มีการระบุแหล่งที่มาของวัตถุดิบชัดเจน

บทสรุป

การก้าวข้าม มายาคติเนื้อสัตว์ส่วนผสมแรก คือกุญแจสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงคุณ แม้ว่าการอ่านฉลากอย่างละเอียดอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากในตอนแรก แต่เมื่อคุณเข้าใจกลยุทธ์การแยกส่วนผสมแล้ว คุณจะสามารถมองทะลุคำโฆษณาที่สวยหรูไปถึงโภชนาการที่แท้จริงได้

จำไว้ว่าราคาที่แพงกว่าไม่ได้การันตีคุณภาพเสมอไป แต่ 'ความโปร่งใสของฉลาก' ต่างหากคือตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับอาการแพ้หรือความต้องการสารอาหารเฉพาะด้าน การปรึกษาสัตวแพทย์หรือนักโภชนาการสัตว์เลี้ยงคือทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าเพื่อนสี่ขาของคุณจะได้รับพลังงานจากโปรตีนคุณภาพดี ไม่ใช่แค่แป้งและสารเติมเต็มที่ถูกพรางตาไว้

เอกสารอ้างอิงและแหล่งที่มา

บทความนี้ได้รับการค้นคว้าโดยใช้แหล่งข้อมูลดังต่อไปนี้: